เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ธ.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันเฉลิมเนาะ วันที่วันเฉลิมพระชนมพรรษา คนบุญพาเกิด คนบุญเกิดมาแล้วเราเกิดอยู่ใต้ร่มใบบุญ เราจะมีความสุขพอสมควร นี่บุญพาเกิด บุญพาเกิด ในศาสนาสอนเรื่องกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำคุณงามความดีมาต้องได้คุณงามความดีตามสัจจะการทำมา ผู้ที่สะสมบุญญาธิการมาจะเกิดมาแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร

เราเกิดมาในพุทธศาสนา พุทธศาสนา เห็นไหม ศีลธรรม จริยธรรม การสละ การให้อภัยกัน นี้เป็นคุณสมบัติของในศาสนาพุทธ แล้วมันตกผลึกในหัวใจ การให้อภัยกัน ในสังคม สังคมต่างๆ สังคมทั่วโลกไป ถ้าเขามีความขัดแย้งกัน เขาจะมีความขัดแย้งกันมาก แต่ในสังคมของชาวพุทธเรา เวลามีความขัดแย้งกันมันก็ยังแก้ไขกันไปได้ มันยังพอว่าเรื่องของศาสนาสอนเรื่องใจไง จิตใต้สำนึกในการให้อภัยกัน จิตใต้สำนึกในการให้อภัย ในเรื่องของทานนี้มันจะเป็นจิตใต้สำนึกของเรา

เราเกิดในศาสนาพุทธเราได้ผลตรงนี้ไง ผลในเรื่องของศาสนา เราเกิดในบุญกุศล นี่ว่าถึงที่สุดแล้วพรหมวิหาร ๔ การช่วยเหลือกัน สุดท้ายแล้วถ้ามันช่วยเหลือไม่ได้ เพราะเรื่องของกรรม ถ้าช่วยเหลือไม่ได้ สิ่งที่ช่วยเหลือไม่ได้ กรรมของเขา เราต้องมีอุเบกขาไง มีอุเบกขาปล่อยตามกรรม เราสุดความสามารถแล้ว คนมีบุญญาธิการสร้างสมมา ถ้ามีคุณงามความดีปกครอง เรามีความสุข แต่คนที่ว่าเขาสร้างทุกข์ของเขามา เขาก็ไม่ได้ความสุขอันนั้น เขาก็มีความทุกข์ของเขา ทุกข์ของสัตว์โลกก็ต้องเป็นไปตามประสาสัตว์โลก ในเรื่องการกระทำ กรรมให้ผลต่อเมื่อมีการกระทำ

กรรมนี้อยู่ในกำมือของเรานะ กำมือของเรา เช่น เราฟังธรรม เราศึกษาธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดี เราสร้างกรรม แล้วผลให้กรรม กรรมเป็นของเรา เราสร้างขึ้นมา แต่ว่าเวลามันให้ผลขึ้นมามันให้โดยที่ว่าเราสร้างเหตุแล้ว ผลต้องให้ตามสัจจะอันนั้น นี่เวลาเราเริ่มทำ ที่อยู่ในกำมือของเรา อยู่ในการกระทำของเรา แล้วอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ความริเริ่มของใจ ความคิดขึ้นมาก่อนถึงมีการกระทำ

การกระทำต่างๆ เกิดจากความคิด ความตรึกความตรองของเราแล้วกระทำออกไป แต่ถ้าเรามีกิเลสในหัวใจ เวลาการกระทำของเราทำประสาความอยากออกไป มันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันทำไปตามความอยาก ความอยากอันนั้นมันไม่ไว้หน้าใคร ไม่ไว้หน้าเรา ไม่ไว้หน้าสิ่งต่างๆ อันนั้นคือกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นภัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ระงับสิ่งนี้ไง ระงับสิ่งที่ในหัวใจ เรามีทาน มีศีล มีภาวนาขึ้นมา เราเริ่มต้นจากการต่อสู้กันในหัวใจ

การสละทาน เห็นไหม เราจะสละออกมา เราจะคิดสละทานเราต้องคิด ความตระหนี่ถี่เหนียวเกิดขึ้นจากตรงนั้น นี่ความริเริ่ม ริเริ่มคุณงามความดี ริเริ่มคุณงามความดีก็เกิดจากใจ ริเริ่มคุณงามความดี มีสติสัมปชัญญะแล้วริเริ่มได้ เพราะมีการฟังธรรม มีการฝึกฝน การฝึกฝน การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นการริเริ่ม แต่เรื่องของกิเลสไม่ต้องฝึกฝน มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสิ่งที่เกิดมากับหัวใจนั้น มันทำเคยตัวอยู่อย่างนั้นตลอดไป แล้วไม่เคยยับยั้ง ใครยับยั้งตัวเองได้

เราต้องการชนะคนอื่น ต้องการให้คนอื่นยกย่องเรา แต่เราไม่เคยดูตัวของเราเลย ถ้าดูตัวของเรา เห็นไหม ชนะตนนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญตรงนี้ไง ตรงที่ผู้ใดชนะตนเอง ผู้นั้นประเสริฐที่สุด เพราะชนะตนเองชนะตรงนี้ ชนะตรงกิเลสที่มันริเริ่มออกมาจากใจ เรายับยั้งสิ่งนี้ได้ นี่การฝืนตน การฝืนใจของเราเป็นการฝืนกิเลส การฝืนความอยากเป็นการฝืนกิเลส แต่เวลามันทำคุณงามความดี ความอยากทำคุณงามความดีล่ะ?

ถ้ามันอยากคุณงามความดีเราต้องเหยียบคันเร่ง เราต้องรีบทำคุณงามความดีนั้น เพราะว่าจิตของคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าใจของคนนี้เปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน มันไปตามอำนาจของมัน ไปตามความอยากของมัน ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันได้เลย ดึงมันไว้ไม่อยู่ มันจะเป็นอำนาจของมัน แต่เพราะว่าเวลาคุณงามความดีขึ้นมาเราต้องรีบกระทำอันนั้น เพื่อจะให้มีคุณงามความดี เพื่อจะให้ใจนี้มันคล่อง ออกไปนะสายน้ำ กระแสน้ำมันพัดมันจะเป็นร่องไป เป็นคลอง เป็นแม่น้ำไป

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดเราไหลออกมาจากหัวใจ ถ้าเป็นคุณงามความดีไหลออกมา คุณงามความดีมันจะไหลออกมาได้มากขึ้นๆ จนเป็นสายน้ำออกมา ออกมาในหัวใจ เป็นคุณงามความดีของเรา ถ้าเราไม่ทำคุณงามความดีของเรา เราปล่อยแต่ตามความเห็นของเรา มันขี้เกียจ มันไม่อยากทำอะไรสิ่งต่างๆ เช่น การภาวนาก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไปๆ ถึงที่สุดมันไปถึงจุดหนึ่งมันจะอุดตัน มันไปไม่ได้เพราะเหตุใด? เพราะสิ่งนี้เพราะเราไม่เคยสร้างบุญกุศลของเราไว้ เราไม่เคยเปิดสายน้ำมันให้มันพุ่งออกไปได้

ถ้าสายน้ำพุ่งออกไปมันจะเป็นไปตามกระแสน้ำนั้นออกไป มันจะมีช่องทางออกไป อยู่ที่ความเพียร ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ถึงจุดหนึ่งแล้วมันอยู่เฉยๆ มันเป็นไปไม่ได้ มันสะสมไปไม่ได้ เวลามีความอยาก อยากเหมือนกัน อยากทำคุณงามความดี อยากประพฤติปฏิบัติ อยากพ้นทุกข์ เวลาทุกข์ขึ้นมาทุกคนเจ็บปวดในหัวใจทุกคนนะ เวลาแสบร้อนในหัวใจ เจ็บปวดในหัวใจมันทุกข์ทุกคน แต่แก้ไขไม่เป็น แก้ไขไม่ได้

เราว่าเราศึกษาธรรม มีความศรัทธามีความเริ่มต้นมันอยากทำ พออยากทำขึ้นมาก็ทำได้ด้วยความศรัทธา ด้วยความใหม่ ทีนี้ความใหม่เพราะความเคยชินเกิดขึ้น ความเคยชินเกิดขึ้นจากใจ ใจมันไม่ก้าวเดินแล้วมันอยู่กับที่อยู่อย่างนั้น ก้าวเดินไปไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะว่าเราไม่เข้าใจสิ่งข้างหน้า นี่หญ้าปากคอก สิ่งต่างๆ มองข้ามว่าเราจะเอามรรคเอาผล เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา แต่เราลืมคำบริกรรม ลืมการควบคุมจิตใจ ลืมพื้นฐานไง ถ้าพื้นฐานไม่ดี การก้าวเดินไปมันจะไม่ดี เราต้องกลับมาคำบริกรรม นี่มีคำบริกรรมเข้าไป

ทุกคนจะบอกว่า คำบริกรรมนี้มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นเรื่องหญ้าปากคอก มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้น เราผ่านสิ่งนี้มาแล้ว เรามีคำบริกรรมมาแล้ว เราควบคุมจิตใจมาแล้ว จนจิตใจเราควบคุมได้ กิเลสมันคิดอย่างนั้น คิดตามใจมัน คิดแบบรวบยอด คิดแบบเอาสะดวกสบายของเรา แล้วอ้าง นี่กิเลสมันเข้ามาในวงประพฤติปฏิบัติ มันหลอกขนาดนั้นก็ล้มตามมันไป เชื่อตามมันไป แล้วประพฤติปฏิบัติก็ไปไม่รอดไง อยู่ที่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่อย่างนั้นแหละ จะดิบก็ไม่ดิบ จะสุกก็ไม่สุก

สุกก็เป็นไปไม่ได้เพราะกำลังมันไม่พอ จะดิบหรือฉันก็ภาวนามา ฉันทำคุณงามความดีมา ฉันทำคุณงามความดีมา นี่มันดิบๆ สุกๆ ครึ่งๆ กลางๆ ไปตลอดไป ต้องย้อนกลับมาคำบริกรรมของเรา พุทโธ พุทโธตลอดไป นี่ย้ำขึ้นมา ให้เอาส่วนใดส่วนหนึ่ง พุทโธตลอดไป ตลอดไปจนกว่ามันจะลงได้ ถ้าจิตมันจะลงได้มันจะก้าวหน้าต่อไป มันเข้าไปอยู่ในที่ว่ามันไปไม่รอด มันอยู่ที่ความนิ่งเฉยของมัน มันเฉยเพราะว่าเข้าไปถึงจุดนั้น แค่นั้น แล้วก็วางอยู่แค่นั้น

ถ้าบริกรรมพุทโธเข้าไปมันมีเหตุไง เพราะมันไม่มีเหตุมันถึงก้าวเดินไปไม่ได้ เพราะมันไม่มีเหตุมันถึงลึกเข้าไปกว่านั้นไม่ได้ มันจิ่มอยู่ขนาดนั้น นี่คำบริกรรมเริ่มต้นเข้ามา สิ่งที่ได้ขึ้นมาตอนนี้ก็ได้ขึ้นมาจากคำบริกรรมใช่ไหม? ได้ขึ้นมาจากประพฤติปฏิบัติมันถึงได้มาแค่นี้ แล้วเราก็ปล่อยวาง เพราะว่าคำบริกรรมนี้มันต้องหายไป แล้วรักษาใจได้ แต่เดิมเราไม่เคยทำเราก็รักษา เรามีสติสัมปชัญญะ มันใหม่อยู่ เรารักษาของเราเอง พอมันเก่าขึ้นมา มันชินชาขึ้นมา เราก็นึกว่าเราคล่องตัวขึ้นมา

นี่ความขี้เกียจของเรา มันไปไม่รอดเพราะตรงที่ว่าเราขี้เกียจ เราเข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรม เข้าใจว่าแต่มันไม่เป็นธรรม แล้วก็เบื่อหน่ายไป ทาน ศีล ภาวนา ภาวนาเกิดขึ้นได้เพราะว่าเราจะรักษาใจของเรา ภาวนาเกิดขึ้นได้ แล้วปัญญามันจะใคร่ครวญไป ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาจากภายใน ความผิดความถูกอันนี้ต้องเป็นครูนะ เป็นครูว่าเรายกขึ้นกันมา นี่ความดีจากภายนอก ความดีจากภายใน คนมีบุญเกิด เกิดแล้วจะมีบุญกุศลมาก คนมีบาป เกิดแล้วทำให้มีความทุกข์ความยาก นี่ใจมันต้องเกิดสภาวะแบบนั้น

กรรมอยู่ในกำมือของเราตรงนี้ ตรงที่เราสร้างเหตุ แต่ผลคือวิบากที่มันเกิดขึ้นกับเราตลอดไป เราต้องยอมรับ ยอมรับว่าสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาแล้วเป็นเรา เป็นเราอยู่ปัจจุบันนี้ เราถึงแก้ไขปัจจุบันนี้ให้มันเป็นไปได้ แก้ไขปัจจุบันไง เอาสิ่งนี้เป็นที่ตั้ง เอาเราเป็นที่ตั้ง แล้วสร้างคุณงามความดีไป ทำภาวนาไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย

“ถ้าผู้ทำสัมมาสมาธิ ทำอยู่ในเหตุของมรรค ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เห็นไหม ๗ ปี อย่างมากต้อง ๗ ปี ถ้าทำได้มันต้องสำเร็จได้”

นี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วมันจะผิดไปไหน? ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนี้มันต้องเป็นไป ถ้าเราฝืนทุกข์ เวลามันทุกข์ขึ้นมามันทุกข์มาก เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ แต่ ๗ ปีเราทนได้ไหม? แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ อย่างศาสนา ลัทธิต่างๆ เขาทำมากกว่านั้น เขาทำตลอดชีวิตเขาก็ทำของเขาได้ ทำไมเราไม่มีการกระทำสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นมา นี่บุญเกิดขึ้นจากใจ ใจมีความสุขขึ้นมาจากภายใน มันจะเห็นค่าของหัวใจไง

ศาสนาที่สอนสอนตรงนี้ แล้วเห็นการเกิดดับของใจ ใจจะไปเกิดดับต่างๆ บุญพาเกิดจะเกิดมีความสุขมาก ถึงที่สุดแล้วบุญนี้ทำให้เกิดปัญญาชำระกิเลสได้ พ้นกิเลสไปจากชาติปัจจุบันนี้ พ้นจากกิเลสไปนะ มีความสุขในหัวใจด้วย แล้วเข้าใจสัจจะความจริงด้วย เป็นเครื่องยืนยันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เอาทุกข์ออกไปจากใจทั้งหมด ทุกข์นี้ไม่มีในหัวใจเลย เป็นความสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราก็ทำของเราสมความปรารถนาของเรา มันก็จะเป็นความสุขของเรา พอใจในความสุขของเรา แล้วมันจะเป็นความสุขของเรา อันนี้เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากบุญอำนาจวาสนา เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา แล้วเป็นผลของเรา

ผลของเราเกิดอันนี้ นี่อาศัยผู้มีบุญ เป็นเหตุให้ทำบุญกุศล แล้วบุญนั้นก็จะเป็นของเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผลที่เกิดจากบุญก็เป็นของเรา สิ่งที่เป็นของเราแล้วมันก็เป็นสมบัติของเราไปตลอดไป เป็นปัจจัตตัง เห็นไหม อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ทำเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น ใครทำเมื่อไหร่ก็ได้เดี๋ยวนั้น ถ้าเราไม่ทำเราก็จะต้องทุกข์ร้อนอย่างนี้ตลอดไป ถ้าเราทำจะสิ้นสุดกันที่นี่ กับจะทุกข์ร้อนต่อไปข้างหน้า นี่เราก็ต้องเลือกเอา

ปัญญามันเกิด ถ้ามันจะเอาความสุข หรือเอาสิ่งที่ว่ามันก็ต้องใช้ความเพียรของเราแก้ไขเข้ามา เป็นงานของใจ ใจแก้ไขใจ แล้วถึงที่สุดได้ เอวัง